(Key Success Guideline for FFC Thailand with Ecosystem Development and Management)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_8835-1024x683.jpg)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_8866-1024x683.jpg)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_9012-1024x683.jpg)
สรุปการสัมมนาเรื่อง “แนวทางการจัดการเพื่อพัฒนาระบบนิเวศสำหรับทีมนวัตกรรม FFC สู่ความสำเร็จ”
(Key Success Guideline for FFC Thailand with Ecosystem Development and Management)
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เวลา 08.30 – 16.00 น.
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 โครงการ Food Innovation Regulation Network (FIRN) ภายใต้สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย (FoSTAT) โดยการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ได้จัดสัมมนาหัวข้อ “แนวทางการจัดการเพื่อพัฒนาระบบนิเวศสำหรับทีมนวัตกรรม FFC สู่ความสำเร็จ” (“Key Success Guideline for FFC Thailand with Ecosystem Development and Management”) ในงาน Food Innovation Asia Conference 2023 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
ผศ. ดร.อาณดี นิติธรรมยง นายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดการสัมมนาโดยมีใจความว่า FIRN ภายใต้การสนับสนุนของ บพข. มีแนวคิดในการพัฒนาระบบการกล่าวอ้างสำหรับอาหารฟังก์ชันของประเทศไทย หรือระบบ FFC Thailand โดยความร่วมมือของ National Agriculture and Food Research Organization (NARO) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีระบบ FFC ที่ช่วยให้ผลิตผลสดทางการเกษตรไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารสามารถระบุคำกล่าวอ้างต่างๆ ได้ ระบบ FFC Thailand จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการทำงานแบบ ecosystem (ระบบนิเวศทางธุรกิจ) คือต้องมีความพร้อมของนักวิจัย งานวิจัย และการทดสอบด้านต่างๆ เพื่อจะไปสู่การกล่าวอ้าง รวมทั้งความพร้อมของระบบการขอรับรอง และการเตรียมพร้อมผู้บริโภคโดยการสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงประโยชน์ของการกล่าวอ้าง เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร ความร่วมมือกันของหลายภาคส่วนนี้มีความสำคัญในการผลักดันให้เกิดระบบ FFC ในประเทศไทย
ผศ. ดร.อาณดี นิติธรรมยง นายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดการสัมมนาโดยมีใจความว่า FIRN ภายใต้การสนับสนุนของ บพข. มีแนวคิดในการพัฒนาระบบการกล่าวอ้างสำหรับอาหารฟังก์ชันของประเทศไทย หรือระบบ FFC Thailand โดยความร่วมมือของ National Agriculture and Food Research Organization (NARO) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีระบบ FFC ที่ช่วยให้ผลิตผลสดทางการเกษตรไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารสามารถระบุคำกล่าวอ้างต่างๆ ได้ ระบบ FFC Thailand จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการทำงานแบบ ecosystem (ระบบนิเวศทางธุรกิจ) คือต้องมีความพร้อมของนักวิจัย งานวิจัย และการทดสอบด้านต่างๆ เพื่อจะไปสู่การกล่าวอ้าง รวมทั้งความพร้อมของระบบการขอรับรอง และการเตรียมพร้อมผู้บริโภคโดยการสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงประโยชน์ของการกล่าวอ้าง เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร ความร่วมมือกันของหลายภาคส่วนนี้มีความสำคัญในการผลักดันให้เกิดระบบ FFC ในประเทศไทย
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_8684-1024x683.jpg)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_8742-1024x683.jpg)
Dr. Masuko Koburi, Manager, Division of Food Function Research, Institute of Food Research, National Agriculture and Food Research Organization (NARO) ประเทศญี่ปุ่น บรรยายเรื่อง “Foods with Functional Claims (FFC) Japan: Systematic Review Case Study” มูลค่าทางการตลาดของอาหารที่มีการกล่าวอ้างเชิงสุขภาพ (foods with function claims; FFC) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ระหว่างปี ค.ศ. 2020 ถึง 2021 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากข้อมูลพบว่า ในปี ค.ศ. 2021 มูลค่าทางการตลาดของผลิตผลสดทางการเกษตรหรือ fresh produce คิดเป็น 3.9% ของมูลค่าอาหารฟังก์ชันทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับของปี ค.ศ. 2020 ระบบ food labelling สำหรับการกล่าวอ้างทางโภชนาการและสุขภาพในประเทศญี่ปุ่นถูกกำกับดูแลโดย Consumer Affairs Agency (CAA) ภายใต้ Ministry for State Consumer Affairs and Food Safety อาหารที่มีการกล่าวอ้างทางสุขภาพแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) อาหารที่มีการกล่าวอ้างหน้าที่ของสารอาหาร 2) อาหารที่มีการกล่าวอ้างเชิงหน้าที่ (FFC) และ 3) อาหารเพื่อสุขภาพตามที่กำหนด (foods for specified health uses; FOSHU)
ระบบ FFC ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตผลสดทางการเกษตรไปจนถึงอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร การพิจารณาอนุญาตการกล่าวอ้างระหว่าง FOSHU และ FFC แตกต่างกันตรงที่ FOSHU มีคณะกรรมการอิสระในการประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัย ในขณะที่ FFC ผู้ประกอบการรับผิดชอบในการเตรียมเอกสารหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยหน่วยงาน CAA ทำหน้าที่ทบทวนเอกสารหลักฐานให้เป็นไปตามเกณฑ์กำหนด ข้อมูลของ FFC ที่ได้จากผู้ประกอบการจะถูกเปิดเผยบนเว็บไซต์ของ CAA ณ วันที่ 3 มิถุนายนปีนี้ มีข้อมูล FFC ทั้งสิ้น 6967 รายการ ในจำนวนนี้เป็นผลิตผลสดทางการเกษตร 198 รายการ เช่น ส้ม แอปเปิ้ล ผักโขม บวบหอม (sponge gourd) และหอมหัวใหญ่ ในการขอจดแจ้ง FFC ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้ 1) ต้องพิจารณาก่อนว่าผลิตภัณฑ์นั้นสามารถกล่าวอ้างเชิงหน้าที่ได้หรือไม่ 2) รวบรวมข้อมูลปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ อาจเป็นประวัติการบริโภค ฐานข้อมูลทุติยภูมิ หรือทำการวิจัยเพื่อประเมินความปลอดภัย 3) สร้างระบบการผลิตและการควบคุมคุณภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ 4) สร้างระบบในการรวบรวมข้อมูลที่ไม่พึงประสงค์ด้านสุขภาพจากผู้บริโภคและนักวิชาการ 5) ยืนยันประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ โดยการวิจัยทางคลินิก (clinical trial) หรือทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic literature review) ซึ่ง ณ ขณะนี้ 95% ของ FFC ได้ข้อมูลมาจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และขั้นตอนสุดท้ายคือ 6) แสดงข้อมูลบนฉลากซึ่งต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของฉลากอาหารและแนวทางของ FFC เมื่อผู้ประกอบการส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้ CAA แล้ว CAA จะใช้เวลาประมาณ 5 สัปดาห์ในการทบทวนเอกสารหลักฐาน หากข้อมูลครบถ้วน ผู้ประกอบการจะได้รับเลขทะเบียนหรือเลขจดแจ้ง (notification number) สำหรับ FFC ข้อมูลต่างๆ ของผลิตภัณฑ์จะถูกนำไปเผยแพร่บนเว็บไซต์ของ CAA ซึ่งผู้บริโภคและผู้ที่สนใจสามารถค้นข้อมูลของ FFC บนฐานข้อมูลโดยใช้คำสำคัญ (keyword) หรือเลขทะเบียนก็ได้
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงภาระกิจของ Division of Food Function Research ในการศึกษาประสิทธิผลของผลผลิตทางการเกษตรเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการยื่นขออนุญาต และยกตัวอย่างงานวิจัย ได้แก่
1) การวิจัยทางคลินิกของหอมหัวใหญ่ชนิดที่มีเควอซิทินสูง (quercetin-rich onion) เพื่อช่วยเสริมความสามารถด้านความรู้ความเข้าใจ (cognitive function) ในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม
2) ผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของโพรไซยานิดินในแอปเปิ้ล (apple procyanidin) พบว่าสารไซยานิดินช่วยลดไขมันช่องท้อง (visceral fat)
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงภาระกิจของ Division of Food Function Research ในการศึกษาประสิทธิผลของผลผลิตทางการเกษตรเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการยื่นขออนุญาต และยกตัวอย่างงานวิจัย ได้แก่
1) การวิจัยทางคลินิกของหอมหัวใหญ่ชนิดที่มีเควอซิทินสูง (quercetin-rich onion) เพื่อช่วยเสริมความสามารถด้านความรู้ความเข้าใจ (cognitive function) ในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม
2) ผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของโพรไซยานิดินในแอปเปิ้ล (apple procyanidin) พบว่าสารไซยานิดินช่วยลดไขมันช่องท้อง (visceral fat)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_8873-1024x683.jpg)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/AAA_8874-1024x683.jpg)
ช่วงที่ 2 ศ. ดร.ภาวิณี ชินะโชติ ที่ปรึกษา FoSTAT และหัวหน้าโครงการ FIRN บรรยายเรื่อง “FFC Thailand on-line system-a preview” หลังจากที่ที่ประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติได้เห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายโครงการวิจัยเรื่องการพัฒนากลไกการจัดตั้ง FFC Thailand ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ FFC ขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการทำงานของ FFC Thailand ทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ต้นน้ำคือผลิตผลทางการเกษตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กรมวิชาการเกษตร หน่วยส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิตเกษตรเพื่อสารสำคัญ ปลายน้ำคือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปในบรรจุภัณฑ์ กำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
สำหรับ FoSTAT/FIRN เป็นกลุ่มนักวิชาการทำงานสนับสนุนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และให้บริการจัดฝึกอบรม จึงอยู่ทั้งในส่วนต้นน้ำและปลายน้ำ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัย เช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์กรมหาชน) หรือ สวก. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) การเลือกแหล่งทุนขึ้นอยู่กับระดับความพร้อมของเทคโนโลยี (technology readiness level; TRL) ของงานวิจัย เช่น TRL 1-3 เป็นช่วงงานวิจัยพื้นฐาน แหล่งทุนคือ วช. TRL 4-7 เป็นช่วงการพัฒนาต้นแบบ แหล่งทุนคือ บพข. ส่วน TRL 8 และ 9 เป็นช่วงการผลิตพร้อมจะไปสู่ตลาด แหล่งทุนคือ NIA
สำหรับระบบ FFC ออนไลน์ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ ศ. ดร.ภาวิณี ได้กล่าวว่า FFC คืออาหารเชิงหน้าที่หรืออาหารที่อ้างอิงสรรพคุณ โดยเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบหรือสารสำคัญ ซึ่งนอกจากมีความปลอดภัยต่อการบริโภคแล้ว ยังต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่ามีผลต่อการปรับปรุงระบบหรือการทำงานของร่างกายอีกด้วย หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญคือ ผลการวิจัยทางคลินิกที่ถูกออกแบบอย่างดี และผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมา FIRN ได้จัดการอบรมการวิจัยทางคลินิกและการฝึกปฏิบัติการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบให้แก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ระบบ FFC Thailand เป็นระบบสนับสนุนที่มีการทำงานแบบ ecosystem บนเว็บไซต์ของ FFC Thailand (https://firn.or.th/) ประกอบด้วยข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์แก่ภาครัฐ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค เช่น ระบบออนไลน์อำนวยความสะดวกในการขอจดแจ้ง ฐานข้อมูลของสารสำคัญและการกล่าวอ้าง ฐานข้อมูลสารโภชนาการ ฐานข้อมูลงานวิจัยในประเทศไทยและวิทยานิพนธ์ ฐานข้อมูลวิธีทดสอบสาร ฐานข้อมูลห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สารสำคัญ ฐานข้อมูลหน่วยงานที่ใช้สัตว์ทดลอง ฐานข้อมูลหน่วยงานวิจัยทางคลินิก ฐานข้อมูลกฏข้อบังคับตามมาตรฐาน CODEX ฐานข้อมูล systematic researches และ clinical trials และฐานข้อมูลอาหาร FFC เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจรวมทั้งข้อมูลความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์จะประกอบด้วยเว็บเพจสำหรับผู้ประกอบการ นักวิจัย และผู้บริโภค ที่มีเนื้อหา/ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับแต่ละกลุ่ม และจะมีการกำหนดระดับการเข้าถึงข้อมูล ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถลงทะเบียนและเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อขอรับการอนุญาต FFC แบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์นี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ รวมทั้งมีการแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามความก้าวหน้าของแต่ละขั้นตอนแบบออนไลน์ได้ ซึ่งคาดว่าระบบ FFC Thailand และการยื่นเอกสารแบบออนไลน์จะใช้งานได้ภายในสิ้นปี 2566
สำหรับ FoSTAT/FIRN เป็นกลุ่มนักวิชาการทำงานสนับสนุนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และให้บริการจัดฝึกอบรม จึงอยู่ทั้งในส่วนต้นน้ำและปลายน้ำ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัย เช่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์กรมหาชน) หรือ สวก. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) การเลือกแหล่งทุนขึ้นอยู่กับระดับความพร้อมของเทคโนโลยี (technology readiness level; TRL) ของงานวิจัย เช่น TRL 1-3 เป็นช่วงงานวิจัยพื้นฐาน แหล่งทุนคือ วช. TRL 4-7 เป็นช่วงการพัฒนาต้นแบบ แหล่งทุนคือ บพข. ส่วน TRL 8 และ 9 เป็นช่วงการผลิตพร้อมจะไปสู่ตลาด แหล่งทุนคือ NIA
สำหรับระบบ FFC ออนไลน์ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ ศ. ดร.ภาวิณี ได้กล่าวว่า FFC คืออาหารเชิงหน้าที่หรืออาหารที่อ้างอิงสรรพคุณ โดยเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบหรือสารสำคัญ ซึ่งนอกจากมีความปลอดภัยต่อการบริโภคแล้ว ยังต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่ามีผลต่อการปรับปรุงระบบหรือการทำงานของร่างกายอีกด้วย หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญคือ ผลการวิจัยทางคลินิกที่ถูกออกแบบอย่างดี และผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมา FIRN ได้จัดการอบรมการวิจัยทางคลินิกและการฝึกปฏิบัติการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบให้แก่นักวิจัยและผู้ที่สนใจ ระบบ FFC Thailand เป็นระบบสนับสนุนที่มีการทำงานแบบ ecosystem บนเว็บไซต์ของ FFC Thailand (https://firn.or.th/) ประกอบด้วยข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์แก่ภาครัฐ นักวิจัย ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค เช่น ระบบออนไลน์อำนวยความสะดวกในการขอจดแจ้ง ฐานข้อมูลของสารสำคัญและการกล่าวอ้าง ฐานข้อมูลสารโภชนาการ ฐานข้อมูลงานวิจัยในประเทศไทยและวิทยานิพนธ์ ฐานข้อมูลวิธีทดสอบสาร ฐานข้อมูลห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สารสำคัญ ฐานข้อมูลหน่วยงานที่ใช้สัตว์ทดลอง ฐานข้อมูลหน่วยงานวิจัยทางคลินิก ฐานข้อมูลกฏข้อบังคับตามมาตรฐาน CODEX ฐานข้อมูล systematic researches และ clinical trials และฐานข้อมูลอาหาร FFC เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจรวมทั้งข้อมูลความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เว็บไซต์จะประกอบด้วยเว็บเพจสำหรับผู้ประกอบการ นักวิจัย และผู้บริโภค ที่มีเนื้อหา/ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับแต่ละกลุ่ม และจะมีการกำหนดระดับการเข้าถึงข้อมูล ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถลงทะเบียนและเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อขอรับการอนุญาต FFC แบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์นี้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ รวมทั้งมีการแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามความก้าวหน้าของแต่ละขั้นตอนแบบออนไลน์ได้ ซึ่งคาดว่าระบบ FFC Thailand และการยื่นเอกสารแบบออนไลน์จะใช้งานได้ภายในสิ้นปี 2566
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/D25_6017-1024x683.jpg)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2024/02/D25_5995-1024x683.jpg)
ช่วงที่ 3 เป็นการเสวนาเรื่อง “แนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจสินค้าเกษตรและสินค้าอาหารฟังก์ชันด้วยการวิจัยผ่านกลไกของ FFC Thailand” ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ภญ.วิวรรณ ชมพืช เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มทะเบียนผลิตภัณฑ์ กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คุณศศิวิมล ทับแย้ม ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานสุขอนามัยพืช สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรแห่งชาติ (มกอช.) และ น.สพ. ดร.กษิติ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท Morena Solutions จำกัด โดยมีคุณกัลญาณี จันทรเจิด ทำหน้าที่ดำเนินรายการ การเสวนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมุมมองของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและอาหารฟังก์ชัน
คุณกัลญาณีได้เปิดประเด็น “ความท้าทายหรืออุปสรรคและปัญหาความยุ่งยาก (pain point) ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรเชิงหน้าที่ตลอดห่วงโซ่อุปทาน” ดร.กษิติ์เดชได้สะท้อนมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตรเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคที่พบคือ ในการขึ้นทะเบียนผลิตผลที่เป็นนวัตกรรม หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลได้แก่ กรมวิชาการเกษตรและ อย. ต้องการหลักฐานผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล ซึ่งผู้ประกอบการยังไม่มีศักยภาพและงบประมาณเพียงพอ การมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมทำงานกับผู้ประกอบการดังที่ FIRN กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ทำให้สินค้าออกสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกประเด็นคือโอกาสในการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SME มีน้อยกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ดังนั้นผู้ประกอบการขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องหาผู้ร่วมทุน ดร.กษิติ์เดชยังกล่าวว่า “คน” เป็นเรื่องสำคัญ ทีมที่มีเป้าหมายเดียวกันจะทำงานได้ง่ายขึ้น การที่ FIRN เชิญ อย. และ มกอช. มาเสวนาร่วมกับผู้ประกอบการในวันนี้ ทำให้ทุกฝ่ายเห็นภาพพร้อมกัน ในทิศทางเดียวกัน ผู้ประกอบการเปรียบเสมือนทัพหน้าในการหาเงินเข้าประเทศ โดยมีหน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่เป็นอาวุธ ช่วยสนับสนุนในการบุกตลาด “เงินทุน” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก แหล่งทุนต่างๆ จึงช่วยในการขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กทำงานวิจัยเชิงลึก เปิดโอกาสให้ทำงานร่วมกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้ ทุกวันนี้สินค้านวัตกรรมซึ่งมีผลงานวิจัยสนับสนุนหลายรายการไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีการตลาดที่ไม่แข็งแรง หลายสินค้าลงทุนไปกับการโฆษณาซึ่งใช้งบประมาณมาก ผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นนวัตกรรมจากพืชสมุนไพร แมลง ผักและผลไม้ เป็นจุดแข็งของประเทศไทย มีงานวิจัยของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยหลายเรื่อง มีผลิตภัณฑ์ส่งออกหลายรายการ และมีบริษัทต่างประเทศมาร่วมลงทุนเยอะมาก บริษัท Morena Solutions จำกัดเป็น platform ที่คอยช่วยบริษัท startup ที่มีแนวคิดผลิตภัณฑ์นวัตกรรม แต่มีเงินลงทุนจำกัด บริษัทฯ ให้การช่วยเหลือตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การเพาะปลูก การวิจัย การผลิต การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ รวมถึงการส่งเสริมการตลาด โฆษณาประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีทีมงานที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ มีการร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย เพื่อนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดร.กษิติ์เดชได้ยกตัวอย่างงานของบริษัทฯ เช่นการปลูกพริกเพื่อทำสารสกัด มีการปรับปรุงสายพันธุ์พริกเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารแคปไซซิน (capsaicin) ในปริมาณสูงคือเพิ่มขึ้นอีก 20% ดังนั้นในพื้นที่เพาะปลูกเท่ากัน จำนวนต้นเท่าเดิม จะมีจำนวนผลพริกมากขึ้น และยังมีปริมาณแคปไซซินต่อผลมากขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับงานทางด้าน FFC
จากปัญหาและอุปสรรคที่ผู้ประกอบการสะท้อนเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนสินค้า ผู้ดำเนินการเสวนาได้สอบถามถึงบทบาทของ มกอช. ในการช่วยส่งเสริมธุรกิจสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงหรือสินค้าเกษตรเชิงหน้าที่ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณศศิวิมลในฐานะผู้แทนจากหน่วยงานที่เป็นต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานกล่าวว่า การส่งออกสินค้าเกษตรคิดมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 8% ของผลผลิตรวมในประเทศ (gross domestic product; GDP) รัฐบาลจึงมีนโยบายให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการเพิ่มปริมาณผลผลิตทางการเกษตรให้มากขึ้น ทั้งผลิตผลสดและสินค้าแปรรูป จากข้อมูลสินค้าอาหารส่งออกของไทยปี 2565 พบว่าผลไม้สดมีมูลค่าการส่งออกค่อนข้างสูง และอาหารในอนาคต (future food) ซึ่งรวมกลุ่มสินค้าส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredient) มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงให้ความสำคัญกับสินค้าดังกล่าว การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูงถูกกำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ชาติ “การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรสู่สินค้าเกตรและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง โดยยกระดับการผลิตให้เข้าสู่คุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย” กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 หมุดหมายเลขที่ 1 “ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง” มาสู่นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ “ตลาดนำการผลิต ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน การวิจัยและพัฒนาภาคเกษตรไทย” ที่ทุกหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ ต้องรับไปดำเนินการ นอกจากนี้ ในการทำงานระดับกรม มกอช. และ อย. ในฐานะคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ มีการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 – 2570) เป็นอีกหนึ่งนโยบายในการผลักดันอาหารมูลค่าสูงภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร (ยุทธศาสตร์ที่ 2 มกอช.เป็นผู้รับผิดชอบหลัก) มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษารูปแบบและกลไกการบริหารจัดการการกล่าวอ้างประสิทธิผลของสินค้าเกษตรและอาหารที่มีผลต่อสุขภาพ การทำงานร่วมกันระหว่าง มกอช. และ อย. ในการแก้ปัญหาโดยการเสนอเป็นนโยบายผ่านช่องทางของแต่ละหน่วยงานไปยังคณะกรรมการอาหารแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการจัดประชุมปีละ 2 ครั้ง จากคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐ มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี ศ. ดร.ภาวิณีเป็นประธาน ช่วยกันให้ความเห็นและพิจารณาสินค้าเกษตรที่สามารถนำร่องไปสู่ FFC โครงการสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ได้แก่ โครงการยกระดับพืชสมุนไพรไทย เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารฟังก์ชันและส่วนผสมฟังก์ชั่น (functional food and functional ingredient) ผู้รับผิดชอบหลักคือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถาบันมาตรวิทยา และโครงการยกระดับสินค้าเกษตรเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารฟังก์ชันและส่วนผสมฟังก์ชัน ผู้รับผิดชอบหลักคือ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และ อว. สำหรับแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย เจ้าภาพหลักคือ อย. ในขณะที่ มกอช. รับผิดชอบในส่วนของวัตถุดิบ จากแผนต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ถึงความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐในการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน สำนักงาน มกอช. มีภาระกิจในการจัดทำมาตรฐานซึ่งกำหนดขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ใช้เป็นเกณฑ์ในการดำเนินงานต่างๆ ตลอดห่วงโซ่อาหารของสินค้าพืช ประมง และปศุศัตว์ เช่น เกณฑ์การเพาะปลูก (เกณฑ์ GAP เกณฑ์ Organic) เกณฑ์การเลี้ยงสัตว์ เกณฑ์การประมง เกณฑ์การผลิตสินค้า (เกณฑ์ GMP เกณฑ์ HACCP) และมาตรฐานคุณภาพ/ความปลอดภัยของสินค้าชนิดต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการเจรจาทางการค้าในระดับประเทศ ระดับอาเซียน และระดับโลก
คุณกัลญาณี ผู้ดำเนินการเสวนาได้สอบถามถึงบทบาทของ อย. ในการสนับสนุนธุรกิจสินค้าเกษตรเชิงหน้าที่ในการขึ้นทะเบียนสินค้า โดยเฉพาะในกรณีความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ภญ.วิวรรณในฐานะผู้แทนจากกองผลิตภัณฑ์สมุนไพรซึ่งเป็นหน่วยงานกลางน้ำ ได้กล่าวถึงนิยามของสมุนไพรตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 หมายถึง “ผลิตผลธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ จุลชีพ หรือแร่ ที่ใช้ ผสม ปรุง หรือแปรสภาพ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร” สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรกำหนดนิยามว่าเป็นยาจากสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ยาจากสมุนไพรมีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นเพื่อการบำบัด บรรเทา และรักษาโรค ส่วนผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอาจเป็นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเพื่อสุขภาพหรือเวชสำอางค์สมุนไพร มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ปรับโครงสร้างการทำงานของร่างกาย ทำให้สภาพร่างกายดีขึ้น ความแตกต่างระหว่างอาหารกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรคือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรต้องมีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบ มีการกำหนดปริมาณและขนาดวิธีการใช้เนื่องจากเป็นการรับประทานเพื่อบำบัด บรรเทาและรักษา และสิ่งสำคัญของผลิตภัณฑ์สมุนไพรคือมีการแสดงการกล่าวอ้างทางสุขภาพ การขออนุญาตผลิตภัณฑ์สมุนไพรมี 3 ช่องทาง ได้แก่ 1) การจดแจ้ง ซึ่งกองผลิตภัณฑ์สมุนไพรได้จัดทำ positive list ประกอบด้วยสูตร กรรมวิธีการผลิต ขนาดการบริโภคต่อวัน และคำแนะนำในการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น “กระเทียมชนิดเม็ด” มีการกำหนดการกล่าวอ้างปริมาณสารต่อวัน ซึ่งได้พิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิผลไว้ให้แล้ว ส่วนการควบคุมคุณภาพเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเอง แล้วสิ่งที่มคุคต่อวัน และคำแนะนำในการร้าว ิเคราะหสมอาหารเชิงหน้าที่ิดปัลิตภันำเอกสารการควบคุมคุณภาพมาแสดง ช่องทางนี้เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ สามารถยืนขอจดแจ้งได้ทางช่องทาง e-Submission 2) การแจ้งรายละเอียด ผู้ประกอบการมีการปรับเปลี่ยนสูตรจากสูตรตำรับจดแจ้ง แต่ไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และ 3) การขึ้นทะเบียน ผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์ของตัวเอง (ชื่อผลิตภัณฑ์แตกต่างจากสูตรจดแจ้ง) มีสูตรตำรับของตัวเอง มีสมุนไพรที่ต้องการกล่าวอ้างนอกเหนือจากใน positive list ต้องยื่นข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย แสดงหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการวิจัยทางคลินิกหรือการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ เมื่อผ่านการพิจารณาอนุญาตแล้ว ผลิตภัณฑ์สมุนไพรนั้นจะได้รับเลขทะเบียน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมช่องทางการค้าผลิตภัณฑ์สมุนไพร ได้แก่ ขายทั่วไปเช่นในร้านสะดวกซื้อ ขายเฉพาะสถานที่/ร้านที่มีใบอนุญาต และใช้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น สำหรับประเด็นการขออนุญาตกล่าวอ้างส่วนผสมอาหารฟังก์ชัน สามารถขอจดแจ้งได้ที่กองผลิตภัณฑ์สมุนไพรได้หรือไม่ ภญ.วิวรรณกล่าวว่า ตามพรบ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 หากเป็นสมุนไพรที่นำไปเป็นส่วนผสมไม่ต้องขึ้นขึ้นทะเบียน จะขึ้นทะเบียนเฉพาะเมื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแล้วเท่านั้น ผู้ดำเนินรายการได้ถามประเด็น หากผู้ผลิตส่วนผสมสมุนไพรต้องการขอจดแจ้งเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการค้า ทางหน่วยงานสามารถรับรองได้หรือไม่ ภญ.วิวรรณกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีโครงการให้การรับรองส่วนผสม แต่ในอนาคตอาจมีการดำเนินการ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีโครงการให้การรับรองสารสกัดจากสมุนไพรที่นำมาใช้ในยา ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ประเทศไทยมีการทำสารสกัดน้อยเนื่องจากปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวเสริมว่าความตั้งใจในการจัดทำระบบ FFC Thailand เกิดจากการมองเห็นโอกาสและศักยภาพของวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรของไทยที่จะนำไปสู่ส่วนผสมฟังก์ชันได้ และสามารถสร้างมูลค่าและรายได้กลับมาสู่ประเทศและเกษตรกร ซึ่งหวังว่าการให้การรับรองสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมฟังก์ชัน จะมีการดำเนินการในเร็ววัน
ช่วงถาม-ตอบจากผู้ฟัง ศ. ดร.จินตนาภรณ์ วัฒนธร ได้ถามประเด็นการเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้สารสกัดเป็นส่วนผสมฟังก์ชัน หากผลิตภัณฑ์ต้นแบบได้รับการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิผลแล้ว จำเป็นต้องทำการวิจัยทางคลินิกเพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ที่ใช้ส่วนผสมฟังก์ชันชนิดเดียวกันอีกหรือไม่ หากโครงสร้างของสารสำคัญและ biological activity ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภญ.วิวรรณตอบว่า หากเปลี่ยนสูตรหรือรูปแบบผลิตภัณฑ์ แล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่ทำให้การออกฤทธิ์ของสารเปลี่ยนไป และปริมาณสารสำคัญยังอยู่ในช่วงที่มีประสิทธิผล ก็ไม่ต้องทำการวิจัยทางคลินิกอีก ซึ่งเป็นคำตอบเดียวกันกับของ Dr. Koburi สำหรับประเด็นคำถามความแตกต่างระหว่างอาหารกับสมุนไพร ความแตกต่างระหว่างยาจากสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร มีการอธิปรายกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลควรสร้างความเข้าใจให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคผ่านช่องทางต่างๆ
คุณกัลญาณีได้เปิดประเด็น “ความท้าทายหรืออุปสรรคและปัญหาความยุ่งยาก (pain point) ในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรเชิงหน้าที่ตลอดห่วงโซ่อุปทาน” ดร.กษิติ์เดชได้สะท้อนมุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตรเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคที่พบคือ ในการขึ้นทะเบียนผลิตผลที่เป็นนวัตกรรม หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลได้แก่ กรมวิชาการเกษตรและ อย. ต้องการหลักฐานผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล ซึ่งผู้ประกอบการยังไม่มีศักยภาพและงบประมาณเพียงพอ การมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมทำงานกับผู้ประกอบการดังที่ FIRN กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ทำให้สินค้าออกสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกประเด็นคือโอกาสในการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SME มีน้อยกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ดังนั้นผู้ประกอบการขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องหาผู้ร่วมทุน ดร.กษิติ์เดชยังกล่าวว่า “คน” เป็นเรื่องสำคัญ ทีมที่มีเป้าหมายเดียวกันจะทำงานได้ง่ายขึ้น การที่ FIRN เชิญ อย. และ มกอช. มาเสวนาร่วมกับผู้ประกอบการในวันนี้ ทำให้ทุกฝ่ายเห็นภาพพร้อมกัน ในทิศทางเดียวกัน ผู้ประกอบการเปรียบเสมือนทัพหน้าในการหาเงินเข้าประเทศ โดยมีหน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่เป็นอาวุธ ช่วยสนับสนุนในการบุกตลาด “เงินทุน” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก แหล่งทุนต่างๆ จึงช่วยในการขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กทำงานวิจัยเชิงลึก เปิดโอกาสให้ทำงานร่วมกับนักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้ ทุกวันนี้สินค้านวัตกรรมซึ่งมีผลงานวิจัยสนับสนุนหลายรายการไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีการตลาดที่ไม่แข็งแรง หลายสินค้าลงทุนไปกับการโฆษณาซึ่งใช้งบประมาณมาก ผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นนวัตกรรมจากพืชสมุนไพร แมลง ผักและผลไม้ เป็นจุดแข็งของประเทศไทย มีงานวิจัยของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยหลายเรื่อง มีผลิตภัณฑ์ส่งออกหลายรายการ และมีบริษัทต่างประเทศมาร่วมลงทุนเยอะมาก บริษัท Morena Solutions จำกัดเป็น platform ที่คอยช่วยบริษัท startup ที่มีแนวคิดผลิตภัณฑ์นวัตกรรม แต่มีเงินลงทุนจำกัด บริษัทฯ ให้การช่วยเหลือตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การเพาะปลูก การวิจัย การผลิต การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ รวมถึงการส่งเสริมการตลาด โฆษณาประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีทีมงานที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ มีการร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย เพื่อนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดร.กษิติ์เดชได้ยกตัวอย่างงานของบริษัทฯ เช่นการปลูกพริกเพื่อทำสารสกัด มีการปรับปรุงสายพันธุ์พริกเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารแคปไซซิน (capsaicin) ในปริมาณสูงคือเพิ่มขึ้นอีก 20% ดังนั้นในพื้นที่เพาะปลูกเท่ากัน จำนวนต้นเท่าเดิม จะมีจำนวนผลพริกมากขึ้น และยังมีปริมาณแคปไซซินต่อผลมากขึ้นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับงานทางด้าน FFC
จากปัญหาและอุปสรรคที่ผู้ประกอบการสะท้อนเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนสินค้า ผู้ดำเนินการเสวนาได้สอบถามถึงบทบาทของ มกอช. ในการช่วยส่งเสริมธุรกิจสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงหรือสินค้าเกษตรเชิงหน้าที่ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณศศิวิมลในฐานะผู้แทนจากหน่วยงานที่เป็นต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานกล่าวว่า การส่งออกสินค้าเกษตรคิดมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 8% ของผลผลิตรวมในประเทศ (gross domestic product; GDP) รัฐบาลจึงมีนโยบายให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการเพิ่มปริมาณผลผลิตทางการเกษตรให้มากขึ้น ทั้งผลิตผลสดและสินค้าแปรรูป จากข้อมูลสินค้าอาหารส่งออกของไทยปี 2565 พบว่าผลไม้สดมีมูลค่าการส่งออกค่อนข้างสูง และอาหารในอนาคต (future food) ซึ่งรวมกลุ่มสินค้าส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredient) มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงให้ความสำคัญกับสินค้าดังกล่าว การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูงถูกกำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธ์ศาสตร์ชาติ “การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรสู่สินค้าเกตรและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง โดยยกระดับการผลิตให้เข้าสู่คุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย” กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 หมุดหมายเลขที่ 1 “ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง” มาสู่นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ “ตลาดนำการผลิต ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน การวิจัยและพัฒนาภาคเกษตรไทย” ที่ทุกหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ ต้องรับไปดำเนินการ นอกจากนี้ ในการทำงานระดับกรม มกอช. และ อย. ในฐานะคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ มีการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 – 2570) เป็นอีกหนึ่งนโยบายในการผลักดันอาหารมูลค่าสูงภายใต้ยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร (ยุทธศาสตร์ที่ 2 มกอช.เป็นผู้รับผิดชอบหลัก) มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษารูปแบบและกลไกการบริหารจัดการการกล่าวอ้างประสิทธิผลของสินค้าเกษตรและอาหารที่มีผลต่อสุขภาพ การทำงานร่วมกันระหว่าง มกอช. และ อย. ในการแก้ปัญหาโดยการเสนอเป็นนโยบายผ่านช่องทางของแต่ละหน่วยงานไปยังคณะกรรมการอาหารแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการจัดประชุมปีละ 2 ครั้ง จากคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐ มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี ศ. ดร.ภาวิณีเป็นประธาน ช่วยกันให้ความเห็นและพิจารณาสินค้าเกษตรที่สามารถนำร่องไปสู่ FFC โครงการสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ได้แก่ โครงการยกระดับพืชสมุนไพรไทย เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารฟังก์ชันและส่วนผสมฟังก์ชั่น (functional food and functional ingredient) ผู้รับผิดชอบหลักคือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถาบันมาตรวิทยา และโครงการยกระดับสินค้าเกษตรเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารฟังก์ชันและส่วนผสมฟังก์ชัน ผู้รับผิดชอบหลักคือ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) และ อว. สำหรับแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย เจ้าภาพหลักคือ อย. ในขณะที่ มกอช. รับผิดชอบในส่วนของวัตถุดิบ จากแผนต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ถึงความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐในการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน สำนักงาน มกอช. มีภาระกิจในการจัดทำมาตรฐานซึ่งกำหนดขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ใช้เป็นเกณฑ์ในการดำเนินงานต่างๆ ตลอดห่วงโซ่อาหารของสินค้าพืช ประมง และปศุศัตว์ เช่น เกณฑ์การเพาะปลูก (เกณฑ์ GAP เกณฑ์ Organic) เกณฑ์การเลี้ยงสัตว์ เกณฑ์การประมง เกณฑ์การผลิตสินค้า (เกณฑ์ GMP เกณฑ์ HACCP) และมาตรฐานคุณภาพ/ความปลอดภัยของสินค้าชนิดต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการเจรจาทางการค้าในระดับประเทศ ระดับอาเซียน และระดับโลก
คุณกัลญาณี ผู้ดำเนินการเสวนาได้สอบถามถึงบทบาทของ อย. ในการสนับสนุนธุรกิจสินค้าเกษตรเชิงหน้าที่ในการขึ้นทะเบียนสินค้า โดยเฉพาะในกรณีความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ภญ.วิวรรณในฐานะผู้แทนจากกองผลิตภัณฑ์สมุนไพรซึ่งเป็นหน่วยงานกลางน้ำ ได้กล่าวถึงนิยามของสมุนไพรตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 หมายถึง “ผลิตผลธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ จุลชีพ หรือแร่ ที่ใช้ ผสม ปรุง หรือแปรสภาพ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร” สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรกำหนดนิยามว่าเป็นยาจากสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ยาจากสมุนไพรมีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นเพื่อการบำบัด บรรเทา และรักษาโรค ส่วนผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอาจเป็นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเพื่อสุขภาพหรือเวชสำอางค์สมุนไพร มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ปรับโครงสร้างการทำงานของร่างกาย ทำให้สภาพร่างกายดีขึ้น ความแตกต่างระหว่างอาหารกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรคือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรต้องมีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบ มีการกำหนดปริมาณและขนาดวิธีการใช้เนื่องจากเป็นการรับประทานเพื่อบำบัด บรรเทาและรักษา และสิ่งสำคัญของผลิตภัณฑ์สมุนไพรคือมีการแสดงการกล่าวอ้างทางสุขภาพ การขออนุญาตผลิตภัณฑ์สมุนไพรมี 3 ช่องทาง ได้แก่ 1) การจดแจ้ง ซึ่งกองผลิตภัณฑ์สมุนไพรได้จัดทำ positive list ประกอบด้วยสูตร กรรมวิธีการผลิต ขนาดการบริโภคต่อวัน และคำแนะนำในการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น “กระเทียมชนิดเม็ด” มีการกำหนดการกล่าวอ้างปริมาณสารต่อวัน ซึ่งได้พิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิผลไว้ให้แล้ว ส่วนการควบคุมคุณภาพเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเอง แล้วสิ่งที่มคุคต่อวัน และคำแนะนำในการร้าว ิเคราะหสมอาหารเชิงหน้าที่ิดปัลิตภันำเอกสารการควบคุมคุณภาพมาแสดง ช่องทางนี้เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ สามารถยืนขอจดแจ้งได้ทางช่องทาง e-Submission 2) การแจ้งรายละเอียด ผู้ประกอบการมีการปรับเปลี่ยนสูตรจากสูตรตำรับจดแจ้ง แต่ไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และ 3) การขึ้นทะเบียน ผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์ของตัวเอง (ชื่อผลิตภัณฑ์แตกต่างจากสูตรจดแจ้ง) มีสูตรตำรับของตัวเอง มีสมุนไพรที่ต้องการกล่าวอ้างนอกเหนือจากใน positive list ต้องยื่นข้อมูลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย แสดงหลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการวิจัยทางคลินิกหรือการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ เมื่อผ่านการพิจารณาอนุญาตแล้ว ผลิตภัณฑ์สมุนไพรนั้นจะได้รับเลขทะเบียน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมช่องทางการค้าผลิตภัณฑ์สมุนไพร ได้แก่ ขายทั่วไปเช่นในร้านสะดวกซื้อ ขายเฉพาะสถานที่/ร้านที่มีใบอนุญาต และใช้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น สำหรับประเด็นการขออนุญาตกล่าวอ้างส่วนผสมอาหารฟังก์ชัน สามารถขอจดแจ้งได้ที่กองผลิตภัณฑ์สมุนไพรได้หรือไม่ ภญ.วิวรรณกล่าวว่า ตามพรบ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 หากเป็นสมุนไพรที่นำไปเป็นส่วนผสมไม่ต้องขึ้นขึ้นทะเบียน จะขึ้นทะเบียนเฉพาะเมื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแล้วเท่านั้น ผู้ดำเนินรายการได้ถามประเด็น หากผู้ผลิตส่วนผสมสมุนไพรต้องการขอจดแจ้งเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการค้า ทางหน่วยงานสามารถรับรองได้หรือไม่ ภญ.วิวรรณกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีโครงการให้การรับรองส่วนผสม แต่ในอนาคตอาจมีการดำเนินการ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีโครงการให้การรับรองสารสกัดจากสมุนไพรที่นำมาใช้ในยา ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ประเทศไทยมีการทำสารสกัดน้อยเนื่องจากปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวเสริมว่าความตั้งใจในการจัดทำระบบ FFC Thailand เกิดจากการมองเห็นโอกาสและศักยภาพของวัตถุดิบที่เป็นสินค้าเกษตรของไทยที่จะนำไปสู่ส่วนผสมฟังก์ชันได้ และสามารถสร้างมูลค่าและรายได้กลับมาสู่ประเทศและเกษตรกร ซึ่งหวังว่าการให้การรับรองสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมฟังก์ชัน จะมีการดำเนินการในเร็ววัน
ช่วงถาม-ตอบจากผู้ฟัง ศ. ดร.จินตนาภรณ์ วัฒนธร ได้ถามประเด็นการเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้สารสกัดเป็นส่วนผสมฟังก์ชัน หากผลิตภัณฑ์ต้นแบบได้รับการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิผลแล้ว จำเป็นต้องทำการวิจัยทางคลินิกเพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ที่ใช้ส่วนผสมฟังก์ชันชนิดเดียวกันอีกหรือไม่ หากโครงสร้างของสารสำคัญและ biological activity ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภญ.วิวรรณตอบว่า หากเปลี่ยนสูตรหรือรูปแบบผลิตภัณฑ์ แล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่ทำให้การออกฤทธิ์ของสารเปลี่ยนไป และปริมาณสารสำคัญยังอยู่ในช่วงที่มีประสิทธิผล ก็ไม่ต้องทำการวิจัยทางคลินิกอีก ซึ่งเป็นคำตอบเดียวกันกับของ Dr. Koburi สำหรับประเด็นคำถามความแตกต่างระหว่างอาหารกับสมุนไพร ความแตกต่างระหว่างยาจากสมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร มีการอธิปรายกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลควรสร้างความเข้าใจให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคผ่านช่องทางต่างๆ
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2022/09/Firn-logo-01-White.png)
![](https://firn.or.th/wp-content/uploads/2022/09/luine.png)
Contact us
Food Innovation & Regulation Network (FIRN)
50 Amon Bhumirat Bld., 7th Flr., Room 730 Ngamwongwan Rd., Ladyaow, Chatuchak, Bongkok 10900
Tel: 0-2942-8528 Fax: 0-2942-8527
Email: coordinator_1@firn.or.th